วัยรุ่นเป็นวัยที่มีปัญหาสุขภาพจิตมากที่สุดวัยหนึ่ง แสดงออกมาในรูปพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ดื้อ ไม่เชื่อฟัง ละเมิดกฎเกณฑ์ มีเพศสัมพันธ์แบบไม่เหมาะสม ใช้ยาเสพติด ทำผิดกฎหมาย ติดเกม ติดการพนัน โดยพฤติกรรมบางอย่างมักเกิดขึ้นมานาน ทำให้แก้ไขยาก

นอกจากนี้ในยุคดิจิทัล ที่วัยรุ่นใช้เวลาบนโลกอินเตอร์เน็ตมากขึ้น ก็ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งสื่อ ข้อมูล โอกาสเจอคนหลากหลายเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้เสี่ยงเพิ่มปัญหาสุขภาพจิตให้หนักขึ้นด้วย

ยุคโควิด-19 มีผลซ้ำเติมปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่นให้เพิ่มมากขึ้น HealthDay News (มี.ค. 2564) เปิดเผยผลสำรวจผู้ปกครองเกือบ 1,000 คนที่มีลูกวัยรุ่นพบว่า เกือบครึ่งของผู้ปกครองสังเกตุว่าลูกตนมีสัญญาณความเครียดหรือสุขภาพจิตที่แย่ลง ส่วนหนึ่งเพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่อยากอยู่กับเพื่อน ชอบเข้าสังคม แต่โควิดจำกัดให้วัยรุ่นเจอเพื่อนได้น้อยลง

ทั้งนี้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตมักมีปัญหาในการปรับตัว มีอาการทางจิตเวช เช่น เครียด ซึมเศร้า

ความเครียด และการจัดการความเครียดด้วยตนเอง

ความเครียดเป็นสภาวะของอารมณ์ของคนที่ต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ เกิดความไม่สบายใจ วิตกกังวล รู้สึกกดดัน หลายครั้งที่หลายคนมักจะเครียดโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ละคนจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามความเครียดไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป ความเครียดที่ไม่มากนักช่วย ให้บุคคลมีความกระตือรือร้น มีพลังในการดำเนินชีวิต แต่การเกิดความเครียดอย่างมากและสะสมอยู่เป็นเวลานาน มีผลทำให้เกิดความเจ็บป่วย ทั้งทางกายและทางจิต อารมณ์ ส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกาย จิตใจและพฤติกรรมของตนเอง รวมทั้งส่งผลต่อผู้อื่นด้วย การจัดการกับอารมณ์จึงมีความสำคัญ การพัฒนาตนเองให้มีความสามารถทางการจัดการอารมณ์ จะส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิต

การจัดการความเครียดด้วยตนเอง มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้คือ

  1. ออกกำลังกาย คลายเครียด การออกกำลังกายที่ให้ผลทางสุขภาพจิต เพียงแค่เดินปกติ สัก 10 นาที หันเหความสนใจไปในทางบวก ก็ได้ผลแล้ว แต่ถ้ามีเวลาหลังเลิกงาน ควรจะไปออกกำลังกายอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 30 นาที แค่ 3-5วัน ต่อสัปดาห์ก็เพียงพอให้ฮอร์โมนแห่งความสุขทำงานได้อย่างเต็มที่บ้าง
  2. นั่งสมาธิ ฝึกจิต ลดเครียด หากลองสังเกตตัวเองเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกเครียด จะเหมือนมีก้อนความคิดบางอย่างวิ่งอยู่ในหัวตลอดเวลา ซึ่งเมื่อมีความเครียดวิ่งวนอยู่ในหัวตลอดทำให้เราต้องคิดซ้ำไปซ้ำมาในเรื่องเครียดนั้น ๆ การจมอยู่กับความเครียดอาจทำให้เราไม่อยากทำอย่างอื่นเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาง่ายๆ เมื่อรู้สึกวิตกกังวลมากเกินไป ลองหาเวลาทำสมาธิ หรือสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกลมหายใจ ลองกำหนดลมหายใจเข้า-ออกง่ายๆ ทำให้ชีพจรเต้นช้าลง เอาใจไปโฟกัสการกำหนดลมก็ทำให้เราลืมเรื่องเครียดๆ ไปได้ประมานหนึ่งเลยล่ะ
  3. จัดสรรเวลาในชีวิตประจำวัน Work Life Balance การจัดสรรเวลาการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวให้ดีจะช่วยให้ชีวิตส่วนตัวดีขึ้น ช่วยในเรี่องของการที่เราไม่เอาความเครียดต่างๆ ไปให้กับครอบครัวด้วย 8 ชั่วโมงการทำงานหลังจากนั้นควรจะหยุดคิดเรื่องงาน ไม่นำงานไปทำในขณะที่ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ให้โฟกัสกับเรื่องครอบครัว และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  4. ผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง แม้ว่าเราจะจัดการปัญหาความเครียดต่างๆ ยังไม่ได้ทันที แต่การที่เราเอาตัวเองออกมาจากความเครียดได้สักพักหนึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีได้ทำตามใจตัวเองบ้าง เช่น การนอนดูหนัง ฟังเพลงสบายๆ หรือออกไปหากิจกรรมทำที่นอกจากการนั่งจมกับความคิดเครียดๆ แน่นอนว่าช่วยให้สมองปลอดโปร่งสักพัก และอาจทำให้เรากลับมาคิดแก้ไขปัญหาหรือเรื่องเครียดได้ด้วย
  5. ปรับเปลี่ยนความคิด หากเราจมอยู่กับความวิตกกังวลมาก ๆ ก็กลายเป็นความเครียดสะสม ความเครียดที่เกิดขึ้นนั้นก็จะกลายเป็นสาเหตุของความทุกข์ใจ หากเกิดกรณีนี้ให้เอาตัวเองออกจากความเครียดด้วยการลองปรับมุมมองปัญหาต่าง ๆ เอาตัวเองออกมายืนเป็นคนนอกดูบ้างอาจทำให้เราเห็นสาเหตุของปัญหาและวิธีแก้ไขได้ง่ายกว่าการเอาตัวเองไปจมอยู่กับตรงนั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

  • เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงและการยอมรับของฉัน เมื่อได้รับข่าวว่าติดเชื้อเอชไอวี จากความโกรธและความสับสน สู่การค้นพบว่าเอชไอวีไม่ใช่จุดจบของชีวิต ด้วยการรักษาที่ถูกต้องและการดูแลตัวเองอย่างดี ฉันสามารถมีชีวิตที่มีความสุขและเป็นปกติได้ ความเข้าใจในแนวคิด "U = U" เปิดโอกาสให้ฉันมีความรักและความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ แม้ต้องเผชิญกับการตัดสินจากคนอื่น แต่ความรู้และการสนับสนุนจากคนรอบข้างทำให้ฉันแข็งแกร่งขึ้น

  • เซ็กซ์ปลอดภัยเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรู้! ไม่ว่าจะโสดหรือมีคู่ ความเข้าใจและการสื่อสารที่ดีกับคนรักคือกุญแจสำคัญ ใช้ถุงยางตรวจสุขภาพและเปิดใจกัน เพื่อความปลอดภัยทั้งกายและใจ ดูแลตัวเองและคนที่คุณรักให้ดีที่สุด!

  • การช่วยตัวเองเป็นเรื่องธรรมชาติที่หลายคนอาจยังไม่กล้าคุย แต่จริง ๆ แล้วมันช่วยให้เราได้รู้จักร่างกาย ลดความเครียด และสร้างความมั่นใจในตัวเอง ทั้งเพศชายและหญิงต่างก็มีวิธีสำรวจความรู้สึกทางเพศของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องผิด หากทำในขอบเขตที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคือการเข้าใจและไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ หากมีข้อสงสัยหรือกังวล ควรพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง และเพื่อสุขภาพทางเพศที่ดีของเราเอง