ช่วงนี้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่าง ซิฟิลิส และ HIV กำลังกลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งในไทย แม้เราจะอยู่ในยุคที่มีข้อมูลครบและวิธีป้องกันก็มีมากมาย แต่จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มต้นทำงานที่บางทีไม่กล้าถาม ไม่กล้าพูด และที่น่ากลัวคือไม่กล้า “รู้” ว่าตัวเองเสี่ยงแค่ไหน
วันนี้เราจะพาไปรู้จัก ซิฟิลิส กับ HIV แบบเข้าใจง่าย ตรงประเด็น ไม่ดราม่า พร้อมวิธีรักษาและสิทธิการรักษา พร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ
ซิฟิลิสคืออะไร?
“ซิฟิลิส” เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่จริงแล้วมันกลับมาแรงมากในช่วงหลัง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Treponema pallidum ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่โดยไม่มีการป้องกัน (ช่องคลอด ทวารหนัก ปาก) รวมถึงอาจติดจากการสัมผัสแผลที่ติดเชื้อโดยตรง
จุดสำคัญคือคุณหลอกดาว!
ซิฟิลิสไม่ได้แสดงอาการรุนแรงทันที แต่จะแบ่งออกเป็น “ระยะ” และสามารถหลอกลวงเราได้ด้วยการ “หายไปชั่วคราว” แล้วกลับมารุนแรงขึ้นในภายหลัง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง แต่ดีหน่อยว่าซิฟิลิสยังมีสัญญาณเตือนจากร่างกายที่เราสังเกตได้หลังจากเสี่ยง 10-90 วัน
อาการของซิฟิลิซแบ่งเป็น 3 ระยะ +1 ดังนี้
ระยะที่ 1 มีแผลขอบแข็ง ไม่เจ็บ บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก เรียกว่า “แผลริมแข็ง” (chancre) อาการจะหายไปเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์แต่เชื้อยังอยู่!
ระยะที่ 2 ผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือมีไข้ เจ็บคอ ผมร่วงเป็นหย่อม ต่อมน้ำเหลืองโต
ระยะที่ 3 ถ้าไม่ได้รักษาเชื้ออาจทำลายอวัยวะภายใน เช่น หัวใจ สมอง กระดูก
+1 ระยะระบบประสาท ซิฟิลิสสามารถเข้าสู่ระบบประสาทได้ทุกระยะ ทำให้มีอาการทางสมอง เช่น มึนงง สับสนหรือมองเห็นภาพหลอน
ซิฟิลิสรักษาหายขาดได้! แต่ต้องรีบไปหาหมอ!
ข่าวดีคือซิฟิลิสรักษาหายขาดได้! วิธีการรักษาคือการฉีดยาปฏิชีวนะ “เพนิซิลลิน” ซึ่งแพทย์จะประเมินตามระยะของโรคว่าจะต้องฉีดกี่เข็ม ซึ่งจะอยู่ระหว่าง 1–3 เข็ม ขึ้นกับระยะของโรค
แต่! อย่าชะล่าใจ อย่างที่เล่าไปค่ะว่ามันมีระยะ +1 ที่เชื้ออาจแทรกซึมเข้าไปในระบบประสาท สมอง หรืออวัยวะภายใน ซึ่งอันตรายและการรักษาจะซับซ้อนขึ้นมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรักษากับแพทย์เท่านั้น! ห้ามซื้อยามากินเองเด็ดขาด เพราะอาจไม่ได้ผลและทำให้เชื้อดื้อยาโดยไม่รู้ตัว
ที่อยากให้จำไว้ให้แม่นๆ และบอกต่อกับคนอื่นเลยก็คือ ซิฟิลิส เป็นได้ หายขาดได้ แต่กลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้ เพราะหากไม่ป้องกันตัวเองหรือมีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำ ก็มีโอกาสกลับมาติดเชื้อได้อีกครั้งค่ะ
แล้ว HIV คืออะไร?
HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือเชื้อไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ชื่อว่า CD4 ซึ่งมีหน้าที่หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ถ้าปล่อยให้เชื้อ HIV ทำลาย CD4 อย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการรักษา ร่างกายจะอ่อนแอจนถึงจุดที่ไวรัสแบคทีเรียอะไรก็โจมตีได้ง่ายมากและหากภูมิคุ้มกันลดต่ำถึงระดับหนึ่งก็จะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า เอดส์ (AIDS) ค่ะ
แต่! ความเข้าใจผิดยังมีอยู่เยอะมากหลายคนยังคิดว่า HIV = เอดส์ ทั้งที่จริงๆ แล้วมัน “ไม่เหมือนกัน”
HIV คือเชื้อไวรัส
เอดส์ (AIDS) คือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องระยะท้ายซึ่งเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ได้รับยารักษาเลย
ถ้าเรารู้ตัวเร็วว่าได้รับเชื้อ HIV และเริ่มต้นกินยาอย่างต่อเนื่องเราจะไม่เข้าสู่ภาวะเอดส์เลย และยังสามารถมีชีวิตปกติ สุขภาพดี มีความรัก มีงาน และมีอนาคตได้แบบเต็มที่เหมือนคนทั่วไปเลยค่ะ
HIV ติดต่อกันได้อย่างไร?
HIV ติดต่อกันได้เฉพาะ ‘ทางสารคัดหลั่ง’ จากร่างกายเท่านั้น ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก ยิ่งถ้ามีแผลหรือรอยถลอกบริเวณอวัยวะเพศโอกาสรับเชื้อจะยิ่งสูงขึ้นค่ะ
- การใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน เช่น การฉีดยาเข้าเส้น การสัก เจาะผิวหนัง มีดโกนที่มีเลือดปน ใช้ร่วมกันมีความเสี่ยงหมดค่ะ
- จากแม่สู่ลูก คุณแม่ที่ติดเชื้อ HIV สามารถส่งต่อเชื้อให้ลูกได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ขณะคลอด หรือให้นมลูก แต่ถ้าได้รับการดูแลจากแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสที่ลูกจะติดเชื้อจะน้อยมากถึงแทบเป็นศูนย์ค่ะ
สิ่งที่ “ไม่” ทำให้ติด HIV แน่นอน
การจับมือ กอด จูบแบบปิดปาก การกินอาหารร่วมกัน การใช้ห้องน้ำหรือสระว่ายน้ำร่วมกัน การถูกยุงกัด ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ ช่องทางการติดต่อ HIV แน่นอน 100% ค่ะ
HIV ไม่มีอาการบอก ต้องตรวจเลือดเท่านั้นถึงจะรู้!
หลังติดเชื้อ HIV ระยะแรก (ช่วง 2-4 สัปดาห์) อาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งหลายคนมองข้ามหรือเข้าใจว่าไม่เป็นอะไรเพราะอาการเหล่านี้อาจหายไปเอง สิ่งที่สำคัญมากคือ “Window Period” หรือระยะที่ร่างกายยังไม่สร้างภูมิตอบสนองต่อเชื้อ ทำให้การตรวจอาจยังไม่เจอ ถ้าเพิ่งเสี่ยงมาควรรอประมาณ 1 เดือนแล้วจึงไปตรวจ และแนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้งภายใน 3 เดือนเพื่อความชัวร์
แบบไหนถึงเรียกว่า “เสี่ยง” ติด HIV?
บางคนอาจยังไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาฉันเสี่ยงรึเปล่า? หรือ แค่ครั้งเดียวจะติดจริงเหรอ? ความจริงคือแค่ครั้งเดียวก็เสี่ยงได้ถ้าเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ โดยไม่ได้มีการป้องกันที่เหมาะสม
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้สถานะ HIV ของตัวเอง (โดยเฉพาะถ้าเปลี่ยนคู่นอนบ่อย)
- มีแผลหรือรอยถลอกบริเวณอวัยวะเพศและสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้อื่น
- เคยมีประวัติใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- เคยสัก เจาะผิวหนัง หรือทำเล็บ ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
จำง่ายๆ หากมีพฤติกรรมเสี่ยง + ไม่ได้ป้องกัน = ควรไปตรวจ!
HIV รักษาได้ ควบคุมได้
ปัจจุบัน HIV รักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส (ARV) หากกินต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จะสามารถควบคุมปริมาณเชื้อในเลือดให้ต่ำมากจนตรวจไม่เจอ (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งหมายความว่าโอกาสในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่นแทบเป็นศูนย์
ทั้งซิฟิลิซและ HIV ตรวจฟรี รักษาฟรี วัยรุ่นก็เข้าถึงได้!
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กังวลใจ หรือคิดว่าตัวเองเข้าข่ายตามที่กล่าวมาอย่าเพิ่งเครียดค่ะ คนไทยทุกคนมีทางออกและมีสิทธิได้รับการรักษาฟรี ดังนี้
สิทธิการตรวจและรักษา
- ซิฟิลิส ตรวจฟรีปีละ 2 ครั้ง และรักษาฟรีตามสิทธิ์บัตรทอง (สปสช.) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 (เมื่อเข้ารับบริการ ให้ยื่นบัตรประชาชนเพื่อยืนยันสิทธิ)
- HIV คนไทยทุกคนที่มีบัตรประชาชนสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HIV ได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ HIV สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สิทธิการตรวจและรักษา HIV ครอบคลุมทุกสิทธิประกันสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
สำหรับวัยรุ่นยุคใหม่การรู้จักและดูแลตัวเองเป็นสิ่งที่เจ๋งมากๆ อย่าปล่อยให้ความลังเลหรือกลัวทำให้พลาดโอกาสในการดูแลสุขภาพ ไปตรวจให้รู้ชัดๆ กันไปเลย และไม่ว่าผลจะออกมาลบหรือบวก ก็มีทางแก้ไขได้
ตรวจวันนี้ รู้วันนี้ สบายใจวันนี้ เชื่อพี่!
รายชื่อหน่วยบริการทั่วประเทศ คลิกดูพิกัดที่นี่
แอดไลน์ Stand by you เพื่อติดต่อขอชุดตรวจ HIV ใช้ตรวจเองที่บ้าน คลิกเลย!
#ซิฟิลิสHIV #ตรวจให้รู้ดีกว่าปล่อยให้มโน #รักตัวเองเริ่มจากรู้ทันโรค #StandByYou